สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการและงาน Kick-off “โครงการนวัตกรรมผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนืออย่างยั่งยืน” ณ วัดหนองปึ๋ง ตำบลจันจว้าใต้ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เพื่อนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาวิกฤตหมอกควันอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

พร้อมกันนี้ได้จัดตั้ง “ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพและสาธิตการแปรรูปวัสดุชีวภาพ” ให้เป็น “แหล่งเรียนรู้คู่ชุมชน” เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นนวัตกร ช่วยให้พี่น้องชาวเชียงรายจัดการวัสดุเหลือทิ้งที่สามารถทำเงินได้จริง พร้อมขยายผลเป็นโมเดลดำเนินงานในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ

โดยได้รับเกียรติจาก รุจติศักดิ์ รังสี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมศักดิ์ แก้วเสนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา รวมทั้ง วช. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนผลงานวิจัยของประเทศ โดยหนึ่งในแผนงานหลักของ วช. คือ การเร่งผลักดันการแก้ไข PM 2.5 นำทีมโดย ประลอง ดำรงไทย ผู้อำนวยการ แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. ประเด็นประเทศไทย และอดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และ ดร. ยุพิน เลิศบุรุษ ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมและการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ร่วมเป็นเกียรติในงาน


ด้าน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) นำทีมโดยผศ.ดร. วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการ วว. พร้อมด้วย ดร.พัชทรา มณีสินธุ์ รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน วว, ดร.เรวดี อนุวัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ วว. และทีมนักวิจัยโครงการ ร่วมแสดงพลังในการนำ วทน. ผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยา

สำหรับกิจกรรมภายในงานครั้งนี้ ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการ/สาธิตนวัตกรรม
ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 ถ่ายทอดความรู้โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ วว. จำนวน 5 ฐาน ได้แก่ 1.การสาธิตประสิทธิภาพเจลหน่วงการติดไฟ 2.การผลิตผ้าย้อมจากวัสดุเหลือทิ้งทางธรรมชาติ 3.การผลิตชิ้นงานเซรามิก (เครื่องปั้นดินเผา) 4.การผลิตภาชนะรักษ์โลกจากฟางและเปลือกข้าวโพด และ 5.เตาเผาไบโอชาร์และการผลิตบล็อกประสานผสมไบโอชาร์ รวมทั้งการถวายบล็อกเติมบุญและฆ้องแก่ ให้กับวัดหนองปึ๋ง และมอบผลิตภัณฑ์โครงการให้กับหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เทศบาลตำบลจ้นจว้า เกษตรจังหวัดเชียงราย เทศบาลตำบลเวียงสรวย สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 และโรงเรียนผู้สูงอายุ
รุจติศักดิ์ รังสี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ประธานในพิธี กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 เป็นโจทย์ใหญ่ที่จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งแนวทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืนที่สุดคือ การเปลี่ยน “วัสดุเหลือทิ้งจากไร่นา” ให้กลายเป็น “พลังขับเคลื่อนนวัตกรรมรักษ์โลก” ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
“ขอชื่นชมคณะนักวิจัย วว. และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้นำผลงานจากการศึกษาวิจัยมาถ่ายทอดสู่พี่น้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการนำแอปพลิเคชันบริหารจัดการสิ่งของเหลือทิ้ง ที่เป็นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาจัดระเบียบการจัดเก็บ การพัฒนา วัสดุกรองอากาศ และ เจลหน่วงการติดไฟ เพื่อรับมือกับวิกฤตฝุ่นควันโดยตรง รวมถึงการเพิ่มมูลค่าวัสดุชีวภาพให้กลายเป็น ถ่านไบโอชาร์ และผลิตภัณฑ์กระถางภาชนะรักษ์โลก ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการเผาในที่โล่งแล้ว ยังช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นในระดับฐานราก รวมทั้งการจัดตั้ง “ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพและสาธิตการแปรรูปวัสดุชีวภาพ” ในตำบลจันจว้าใต้แห่งนี้ ซึ่งเปรียบเสมือน “แหล่งเรียนรู้คู่ชุมชน” ที่จะเปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นนวัตกร ช่วยให้พี่น้องชาวเชียงรายมีทางเลือกใหม่ในการจัดการวัสดุเหลือทิ้งที่สามารถทำเงินได้จริง และนำไปสู่การลดจุดความร้อน (Hotspot) ในจังหวัดอย่างเห็นผล หวังเป็นอย่างยิ่งว่านวัตกรรมเหล่านี้จะถูกส่งต่อและขยายผลไปทั่วทั้งจังหวัดเชียงราย รวมถึงจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อให้เราได้อากาศที่บริสุทธิ์กลับคืนมาควบคู่ไปกับการมีรายได้ที่มั่นคงของพี่น้องเกษตรกร” รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าว
ประลอง ดำรงไทย ผู้อำนวยการแผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. ประเด็นประเทศไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ในฐานะหน่วยงานหลัก ด้านการบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ มีภารกิจที่สำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในพื้นที่ และสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัญหา PM 2.5 นับเป็นปัญหาที่สำคัญของพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายมิติ ทั้งด้านการเกษตร การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพ และวิถีชีวิตของชุมชน จึงเป็นที่มาของการให้ทุนกับ วว. ในครั้งนี้
การออกแบบโครงการของ วว. เน้นการพัฒนา/แก้ไขปัญหา และสร้างความร่วมมือในพื้นที่นั้นสะท้อนแนวคิดของ วช. ที่ต้องการมุ่งเน้นงานวิจัยเชิงพื้นที่ (Area-based Research) และงานวิจัยเชิงบูรณาการ ที่เชื่อมโยงหน่วยงานวิจัย นักวิชาการ ภาคีเครือข่าย และชุมชน เข้าร่วมทำงานและแก้ไขปัญหาพื้นที่ร่วมกัน ซึ่งกระบวนการคือ พัฒนานวัตกรรมจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร สู่การสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง พร้อมทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกษตรกร ให้รู้วิธีการบริหารจัดการวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร จากการเผา ไปสู่การใช้ประโยชน์ผ่าน Application ซึ่งนอกจากการแก้ปัญหาและลดมลพิษลงได้แล้ว ยังสามารถนำไปต่อยอด สร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน ได้ร่วมด้วย ถือว่าเป็นโครงการที่สามารถสร้างผลกระทบทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมได้จริง
ผศ.ดร. วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กล่าวว่า โครงการนวัตกรรมผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 เป็นความตั้งใจของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ วว. ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาขับเคลื่อนการแก้ปัญหาวิกฤตหมอกควันอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยขณะนี้โครงการประสบผลสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมที่สำคัญ ซึ่งพร้อมขับเคลื่อน เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ของประเทศ โดยยึดหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบ ESG คือ การดูแลสิ่งแวดล้อม (Environmental) การสร้างประโยชน์ต่อสังคม (Social) และการบริหารจัดการที่โปร่งใสมีธรรมาภิบาล (Governance)
จากการดำเนินโครงการ วว. บรรลุผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ใน 5 ด้านสำคัญ ดังนี้
- 1. ด้านการบริหารจัดการเชิงดิจิทัล (Governance & Efficiency) พัฒนา แอปพลิเคชันบริหารจัดการวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางสร้างธรรมาภิบาลในการจัดการทรัพยากร เชื่อมโยงเกษตรกรและผู้ประกอบการเข้าด้วยกัน เปลี่ยนเศษวัสดุให้เป็นมูลค่า และลดปัญหาการเผาอย่างเป็นระบบ
- ด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Environmental & Green Economy) นำเปลือกข้าวโพด ตอซังข้าว และเศษไม้ มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง อาทิ ภาชนะรักษ์โลก ถาดรองไข่ คอนกรีตบล็อกประสานจากไบโอชาร์ และถ่านไบโอชาร์ ซึ่งเป็นการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด (Environmental) พัฒนาเทคโนโลยีเตาเผาต่อเนื่องสำหรับไบโอชาร์ ที่เชื่อมต่อกับเตาเผาเซรามิก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และลดมลพิษจากการเผาไหม้ พร้อมทั้งกักเก็บน้ำส้มควันไม้ เพื่อส่งเสริมการเกษตรปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ด้านความปลอดภัยและสังคม (Social) วิจัยและพัฒนา เจลหน่วงไฟ จากวัสดุธรรมชาติ เพื่อลดความรุนแรงของไฟป่า เป็นการปกป้องระบบนิเวศและสุขภาวะของคนในสังคม โดยใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 100%
- ด้านนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิต (Environmental & Social) พัฒนา วัสดุกรองอากาศประสิทธิภาพสูงจากไบโอชาร์ ที่ลดค่าฝุ่น PM 2.5 ได้ถึงร้อยละ 85-98 รวมถึงการนำไปประยุกต์ใช้ใน งานถนนลาดยางมะตอย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารพิษก่อมะเร็งบนท้องถนน
“ผลสำเร็จดังกล่าวทั้ง 5 ด้าน อยู่ระหว่างการส่งต่อเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ผ่านการดำเนินงานของ ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพและสาธิตการแปรรูปวัสดุชีวภาพ และเป็น “แหล่งเรียนรู้คู่ชุมชน ณ ตำบลจันจว้า” เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นว่านวัตกรรมของไทยสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กับการรักษาโลกร่วมกันอย่างยั่งยืน ตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียวที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
ทนงศักดิ์ ทองแสน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า ในฐานะผู้นำชุมชนของพื้นที่ดำเนินโครงการฯ กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นควันและวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เป็นโจทย์ใหญ่ที่หน่วยงานร่วมกับชุมชนพยายามหาทางออกมาโดยตลอด “ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพและสาธิตการแปรรูปวัสดุชีวภาพเพื่อการใช้ประโยชน์ระดับชุมชน” ที่จัดตั้งในพื้นที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้คู่ชุมชนที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย อีกทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งพี่น้องเกษตรกรจะมาเก็บเกี่ยววิชาความรู้ เพื่อนำไปเปลี่ยนเศษวัสดุทางการเกษตรที่ไร้ค่าให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า และช่วยสร้างรายได้กลับคืนสู่ครัวเรือน โดยไม่ต้องใช้วิธีการเผาอีกต่อไป โดยพี่น้องประชาชนพร้อมที่จะสนับสนุนและต่อยอดโครงการนี้อย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ความรู้ที่นำมามอบให้ในวันนี้เกิดดอกออกผลและยั่งยืนอยู่ในชุมชนของเราสืบไป
ความสำเร็จในการดำเนินงาน โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ภายใต้ “โครงการนวัตกรรมผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนืออย่างยั่งยืน” สามารถนำไปใช้เป็นแนวทาง/โมเดลดำเนินงาน ในการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชนในพื้นที่ รวมทั้งขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมพร้อมใช้ เพื่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรได้มีส่วนช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งยังสร้างรายได้และช่วยลดหรือแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้เป็นไปอย่างยั่งยืนและเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว