อาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล (ADL) บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก ได้เผยรายงานที่ทำการวิเคราะห์ตลาดยานยนต์ปัจจุบันในประเทศไทย พร้อมนำเสนอแนวทางในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่การเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
ฮิโรทากะ อุชิตะ ประธานบริหารและผู้อำนวยการ ประจำอาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล ประเทศไทย กล่าวว่า “การพัฒนาอุตสาหกรรม EV มีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างมาก หากประเทศต้องการรักษาตำแหน่ง “ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งเอเชีย” เอาไว้และดึงเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเทรนด์การลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งขับเคลื่อนโดยเป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการผลิต EV ของตลาดทั่วโลกที่มาแข่งขันกับประเทศตลาดเกิดใหม่ (เช่น ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน อเมริกาเหนือ และตะวันออกกลาง)”
ADL มีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาลูกค้า เพื่อให้พร้อมเปิดรับโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ท่ามกลาง
อีโคซิสเต็มของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันดับด้านความพร้อมในปัจจุบันของอุตสาหกรรม EV ไทยผ่านดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (Global Electric Mobility Readiness Index — GEMRIX) ของ ADL ที่พัฒนาขึ้นจากการเปรียบเทียบตลาดยานยนต์ที่สำคัญทั่วโลก
ดร.อันเดรียส ชลอสเซอร์ พาร์ทเนอร์และประธานบริหารกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก กล่าวว่า “ดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (GEMRIX) ของ ADL ออกแบบมาเพื่อเปรียบเทียบเงื่อนไขตลาดของยานยนต์ EV และยานยนต์สันดาปใน รายงานดังกล่าวทำการวิเคราะห์ประเทศทั้งสิ้น 15 ประเทศ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มสูงมากขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 ในด้านความพร้อมของตลาดสำหรับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า”
ประเทศไทย ได้ประกาศแผนที่มุ่งมั่นในการคว้าส่วนแบ่งตลาด EV ที่เพิ่งเริ่มต้นแต่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนการวางจุดยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยมลภาวะทางอากาศอีกด้วย แต่แม้ว่ารัฐบาลไทยจะออกมาตรการกระตุ้นและการออกกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการเติบโตของตลาด แต่อัตราการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยยังถือว่าต่ำอยู่ รายงานของ อาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล ได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ
ความท้าทายหลักของไทย
ADL ได้ระบุความท้าทายหลัก 5 ประการในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการเพื่อพลิกโฉมสู่การใช้เครื่องยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็วสำหรับวงการยานยนต์ โดยความท้าทายทั้ง 5 ประการ ได้แก่
- การเปลี่ยนผ่านที่เป็นไปได้ของไทยในการใช้พลังงานหลายรูปแบบและการเปลี่ยนฐานของซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์
- ความสามารถในการแข่งขันในซัพพลายเชนของแบตเตอรี่
- การผลักดันเชิงกลยุทธ์ของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ
- ความตระหนักรู้ของลูกค้าไทยเกี่ยวกับความเป็นกลางทางคาร์บอนและ EV
- ศักยภาพของ EV ไทยในตลาดส่งออก
ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงในการผลิตยานยนต์ อาทิ อินโดนีเซีย สามารถเข้าถึงทรัพยากรหลักอย่างนิกเกล ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในแบตเตอรี่ลิเธียม นอกจากนี้ ศักยภาพในการส่งออกของไทยในฐานะฮับการผลิตยานยนต์ก็อาจต้องเจอความท้าทาย เนื่องจากตลาดส่งออกที่มีอยู่ เริ่มเปลี่ยนไปใช้ EV จาก OEM และแบรนด์ท้องถิ่นในประเทศของตนเอง
ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิต อาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสริมว่า “วิวัฒนาการของอุตสาหกรรม EV ไทยจะขึ้นอยู่กับผู้เล่นในอีโคซิสเต็ม เนื่องจากฐานความต้องการในไทยยังมีจำกัดและเงื่อนไขในฝั่งของอุปทานก็ยังไม่น่าพึงพอใจ ด้วยเหตุนี้ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมต้องร่วมมือกันทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) นอกจากนี้ เทรนด์ระบบไฟฟ้าในไทยสร้างโอกาสให้ผู้เล่นท้องถิ่นและสตาร์ตอัปสามารถก่อตั้งแบรนด์ EV ของตนเอง ซึ่งอาจเป็นการพลิกเกมในวงการยานยนต์ไทยในอนาคต ซึ่งจวบจนปัจจุบัน ยังต้องพึ่งพาแบรนด์และผู้เล่นจากต่างประเทศอยู่”
ศักยภาพของประเทศไทยในตลาด EV
รายงานยังได้แสดงภาพรวมของผลการวิเคราะห์สำคัญจากดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (Global Electric Mobility Readiness Index (GEMRIX) ของ ADL ประจำปี 25651 โดยมุ่งเน้นที่ตลาดไทย ซึ่งได้รับการจัดประเภทให้เป็นตลาด EV เกิดใหม่ (Emerging EV Market) เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งได้คะแนนระหว่าง 40 – 60 คะแนน
ADL ยังเห็นศักยภาพมหาศาลสำหรับตลาด EV ในประเทศไทย ด้วยการผลักดันอย่างแข็งขันจากภาครัฐ
ผู้เล่นที่มีอยู่จำนวนมากในอีโคซิสเต็ม EV และความมุ่งมั่นของไทยในการทำให้เทรนด์ระบบไฟฟ้าเป็นที่ยอมรับในวงกว้างอย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในตลาดปัจจุบันและความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ADL เชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยจะพลาดเป้าการขายยานยนต์ EV ที่ตั้งไว้ 1.123 ล้านคันภายในปี 2573 และมีข้อแนะนำที่จะช่วยให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่ EV ได้ด้วยการสร้าง
อุปสงค์และการพัฒนาอุปทาน
ยอดขาย EV ในไทยคาดว่าจะเพิ่มจาก 1,572 คันในปี 2563 เป็นราว 831,161 คันในปี 2573 ซึ่งสูงขึ้นถึง 529 เท่า คาดว่าอัตราการใช้ EV ภายในปี 2573 จะอยู่ที่ 61,000 คันสำหรับรถยนต์และรถกระบะ 763,000 คันสำหรับรถไฟฟ้า 2 ล้อ และ 7,000 คันสำหรับรถบัสและรถบรรทุก รายงานยังระบุว่าไทยจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับรถ 2 ล้อ แต่จะไม่บรรลุเป้าหมายสำหรับรถยนต์ รถกระบะ รถบัส และรถบรรทุก
นอกจากนี้ ADL ยังได้ระบุแนวทางแก้ไขปัญหาที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพลิกโฉมอุตสาหกรรมตามที่ต้องการ