บอร์ดบีโอไอไฟเขียวกระตุ้นการลงทุนส่งท้ายปี 63 ส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานพาหนะไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) รอบใหม่ หลังจากหมดระยะเวลาการยื่นคำขอรับการส่งเสริมไปตั้งแต่ปี 2561 รอบใหม่จูงใจนักลงทุนด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงถึง 8 ปี หนุนโรดแมปการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าไทย สู่การเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค
BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน EV รอบใหม่ หลังจากหมดระยะเวลาการยื่นคำร้องไปตั้งแต่ปี 61 โดยในการสนับสนุนในครั้งนี้ เปิดให้การส่งเสริมยานพาหนะไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้า รวมถึงเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าด้วย จากเดิมที่มีการส่งเสริมเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าและรถโดยสารไฟฟ้าเท่านั้น
สิทธิประโยชน์และเงื่อนไข หนุนลงทุน EV ไทย
รถยนต์ไฟฟ้า
กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่เป็นหลัก (Battery Electric Vehicles: BEV) แต่ให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมควบคู่ไปด้วยกันได้
- กรณีที่มีขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และหากมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาก็สามารถได้รับสิทธิเพิ่ม
- กรณีขนาดการลงทุนน้อยกว่า 5,000 ล้านบาท การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เริ่มผลิตรถยนต์ภายในปี 2565 มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญเพิ่มเติมจากข้อกำหนดพื้นฐาน มีปริมาณการผลิตจริงมากกว่า 10,000 คันต่อปี และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา
- ถ้ามีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicles หรือ PHEV ด้วย จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ทั้งนี้ต้องการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 3 ชิ้น
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
กิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เริ่มผลิตภายในปี 2565 มีการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่เริ่มจากขั้นตอน Module มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Traction Motor และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา
รถสามล้อไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
กิจการผลิตสามล้อไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น มีการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่เริ่มจากขั้นตอน Module มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Traction Motor และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา
รถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
กิจการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น มีการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่เริ่มจากขั้นตอน Module มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Traction Motor และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา
เรือไฟฟ้า
กิจการต่อเรือหรือซ่อมเรือ ที่เป็นเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
ทั้งนี้ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ทุกประเภท ผู้ลงทุนจะต้องเสนอแผนงานรวม (Package) เช่น โครงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ โครงการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า แผนการนำเข้าเครื่องจักรและติดตั้ง แผนการผลิตในระยะ 1 – 3 ปี แผนการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนอื่นๆ และแผนการพัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบ ในประเทศไทย (ที่มีคนไทยถือหุ้นข้างมาก) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังปรับปรุงขอบข่ายและสิทธิประโยชน์ของประเภทกิจการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า โดยเพิ่มเติมรายการชิ้นส่วนสำคัญอีก 4 รายการ ได้แก่ High Voltage Harness, Reduction Gear, Battery Cooling System และ Regenerative Braking System พร้อมทั้งปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้จูงใจมากขึ้นสำหรับกิจการผลิตแบตเตอรี่ที่มีการลงทุนในขั้นตอนที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น โดยให้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ไม่มีการผลิตในประเทศ ในอัตราร้อยละ 90 เป็นระยะเวลา 2 ปี ในกรณีที่มีขั้นตอนการผลิต Module หรือ Cell เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค
Source: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
Update – ยานยนต์ไฟฟ้าไทยในปัจจุบันRoadmap พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทย รัฐบาลตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ภายในปี 2030 และ BOI สนับสนุนกระตุ้นการลงทุนผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ในการผลิตรถยนต์ประเภทไฮบริด (HEV) ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รถพลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) และสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการทยอยขอรับการส่งเสริมการลงทุนในส่วนของรถยนต์พลังงานเพิ่มขึ้น ทั้งหมด 16 บริษัท รวม 26 โครงการ แบ่งเป็น
ทั้งนี้ จากข้อมูลปัจจุบัน มีรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายในประเทศไทย ในชนิดใช้แบตเตอรี่ BEV จำนวน 11 ยี่ห้อ 13 รุ่น ส่วนรถแบบปลั๊กอิน ไฮบริด PHEV นั้นมี 7 ยี่ห้อ จำนวน 26 รุ่น และรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด HEV มีจำนวน 5 ยี่ห้อ 15 รุ่น โดยในปี 2020 จากข้อมูลยอดจดทะเบียน EV ในช่วง 8 เดือนแรกของปี ยอดจดทะเบียนนั้นมีสูงถึง 21,889 คัน (รวมมอเตอร์ไซค์และสามล้อ และหากนับเฉพาะรถยนต์จะมียอดประมาณ 19,000 คัน) ทำให้ยอดสะสมของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศไทยมีมากกว่า 175,000 คัน |