บอร์ด กกพ. ทบทวนค่าเอฟทีใหม่ สำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ตามแนวทางการบริหารจัดการของกระทรวงพลังงาน ส่งผลจ่ายค่าเอฟที ลดลง เหลือ 154.92 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมที่ต้องจ่ายค่าที่ 190.44 สตางค์ต่อหน่วย มีผลงวดบิลค่าไฟฟ้า ม.ค.-เม.ย. 66
หลังจากกระทรวงพลังงานให้ ปตท. และ กฟผ. ทบทวนประมาณการสมมุติฐานราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาน้ำมันดีเซล อัตราแลกเปลี่ยน และภาระหนี้คงค้างของ กฟผ. เพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่บ้านอยู่อาศัย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต้องจ่ายค่าเอฟที 154.92 สตางค์ต่อหน่วยจากเดิมที่ต้องจ่ายค่าเอฟที 190.44 สตางค์ต่อหน่วย ลดลง 35.52 สตางค์ต่อหน่วย ดังนั้นผู้ใช้ไฟฟ้าในกลุ่มนี้จึงต้องจ่ายค่าไฟฟ้า 5.33 บาทต่อหน่วย ในรอบบิลค่าไฟฟ้า ม.ค.-เม.ย. 66 ลดลงจากเดิมที่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 5.69 บาทต่อหน่วย
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 60/2565 (ครั้งที่ 827) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 พิจารณาผลการคำนวณค่าเอฟทีเพิ่มเติมอีกครั้งหลังจากที่ กฟผ. และ ปตท. ทบทวนประมาณการราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาน้ำมันดีเซล อัตราแลกเปลี่ยน และภาระหนี้คงค้างของ กฟผ. สำหรับการคำนวณอัตราค่าเอฟที (Ft) ตามที่ กกพ. ได้พิจารณาไปแล้วในการประชุมครั้งที่ 58/2565 (ครั้งที่ 825) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565
นอกจากนี้ นายคมกฤช ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 เป็นต้นไป ผู้ใช้งานไฟฟ้า 3 ประเภทจะได้รับการปรับลดอัตราค่าบริการรายเดือน ดังนี้
- ประเภทบ้านอยู่อาศัย
- ใช้มากกว่า 150 หน่วย อัตราค่าบริการเดิม 38.22 บาท/เดือน อัตราค่าบริการใหม่ 24.62 บาท/เดือน
- แรงดันต่ำ อัตรา TOU อัตราค่าบริการเดิม 38.22 บาท/เดือน เป็นอัตราใหม่ 24.62 บาท/เดือน
- กิจการขนาดเล็ก แรงดันต่ำ อัตราค่าบริการเดิม 46.16 บาท/เดือน เป็นอัตราใหม่ 33.29 บาท/เดือน
- กิจการสูบย้ำเพื่อการเกษตร อัตรา TOU อัตราค่าบริการเดิม 228.17 บาท/เดือน เป็นอัตราใหม่ 204.07 บาท/เดือน