“วันคุ้มครองโลก” ได้ถือกำเนิดมาครบ 50 ปีแล้ว เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของ “โลก” ที่ให้เราได้อยู่อาศัย ซึ่งประกาศโดยโครงการสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติ (United Nations Environment Program หรือ “UNEP”) เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2513 ซึ่งในประเทศไทย หลายองค์กรได้มีการจัดกิจกรรมวันคุ้มครองโลกเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติก ที่หลายคนทราบดีว่า จำนวนขยะพลาสติกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายองค์กรในประเทศไทยนั้นตื่นตัว ช่วยกันแก้ไขปัญหาตามวิถีของแต่ละองค์กรมาไม่มากก็น้อย โดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการบริหารจัดการ ซึ่งบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ก็เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่แสดงความมุ่งมั่นและพยายามคิดค้นพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกที่กำลังจะล้นโลก
ในด้านการบริหารความยั่งยืน (Sustainability) GC มุ่งมั่นในการผลิตเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจนในด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission) จากกระบวนการผลิตของบริษัทฯ โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ใน 10 ปีข้างหน้า (ปี 2573) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาภาวะโลกร้อน สอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และยังตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 52% ภายในปี 2593 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของโลกในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส
ผลิตภัณฑ์ที่ GC ดำเนินการผลิต ได้รับการรับรองเครื่องหมาย Carbon Footprint และ Carbon Footprint Reduction จากองค์การก๊าซเรือนกระจก (TGO) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน และ มีการวางเป้าหมายที่จะมีผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Performance & Green Chemicals) เพิ่มเป็น 30% ภายในปี 2573 รวมทั้งยกเลิกการผลิตเม็ดพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ GC ยังได้รับการจัดอันดับเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices) หรือ DJSI ปี 2019 โดยได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกด้านการพัฒนา อย่างยั่งยืน ด้วย Percentile 100 และอยู่ในระดับ Top 10 ของ DJSI World และ Emerging Markets ในกลุ่มเคมีภัณฑ์ (Chemical Sector) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
ยิ่งไปกว่านั้น GC ยังยึดหลัก Circular Economy เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและส่งเสริม ให้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันตามแนวคิด GC Circular Living โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อความยั่งยืนสูงสุด ต่อยอดบูรณาการให้เกิดความยั่งยืน ในทุกธุรกิจและกระบวนการของบริษัทฯ โดย GC ได้ร่วมกับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ผสานการทำงานร่วมกัน เช่น โครงการคุ้งบางกะเจ้าโมเดล โครงการเชียงรายโมเดล โครงการความร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โครงการ Waste this Way ในงานฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 74 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป และโครงการทดสอบและพัฒนาต่อยอดเครื่องบำบัดอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 เป็นต้น และ GC ยังมีแนวทาง ที่ยั่งยืนในการใช้พลาสติกสำหรับทุกคน (Solutions for Everyone) รวมทั้งสร้างระบบเพื่อแก้ไขปัญหา แบบองค์รวม ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ 1) พลาสติกชีวภาพ (Bio-based) มุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่สลายตัวได้ด้วยการฝังกลบ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ ที่ยากต่อการคัดแยก หรือ พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีข้อจำกัดเรื่องการแยกขยะ 2) พลาสติกทั่วไป (Fossil-based) มุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยความรับผิดชอบ นำขยะพลาสติกกลับมารีไซเคิล (Recycle) หรือ อัพไซเคิล (Upcycle) เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สามารถคัดแยกได้ หรือ พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความตระหนักในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี 3) ระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน สร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้พลาสติก เพื่อก่อให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อหลักการ Circular Economy ซึ่งเริ่มจากจุดเล็กๆ และเกิดเป็นการขยายผลแบบทวีคูณ และสุดท้าย การเป็น ส่วนหนึ่ง (Inclusiveness) GC จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้า SMEs ให้ปรับตัวกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค เราจะขับเคลื่อน พัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าของเรา
ล่าสุด GC ได้มอบบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกสำหรับเดลิเวอรี่กว่า 3 แสนชิ้น ให้ร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบกว่า 200 ร้าน เพื่อช่วยร้านลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปรับตัวเปิดขายเดลิเวอรี่สู้ภาวะวิกฤตโควิด-19 ประกอบด้วย ถ้วยกระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพ ถุงหูหิ้วพลาสติกชีวภาพ และ ชุดช้อน-ส้อมพลาสติกชีวภาพ ที่ได้รับการรับรองฉลาก GC Compostable สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า “พลังร่วม” นั้นสำคัญเพียงไหน ทั้งนี้ทั้งนั้น ในความจริง เราอาจไม่จำเป็นต้องรอให้องค์กรใหญ่ๆ ขยับ โลกก็น่าอยู่มากขึ้นทุกวันได้ หากทุกคนปรับตัว คิด และช่วยกันเริ่มลงมือทำในวิถีของตนเมื่อไหร่ ประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่ความยั่งยืนที่แท้จริงได้สมตามความปรารถนาของผู้ก่อตั้ง “วันคุ้มครองโลก” ได้เท่านั้น