NEPS ผู้นำด้านการให้บริการพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน รุกธุรกิจอาหารและการเกษตรฯ รับต้นปี’67 เดินหน้าติดตั้ง “โซลาร์ รูฟท็อป” ให้แก่บริษัท แอล ที ซี พาวเวอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในเครือกลุ่มบริษัทแหลมทองสหการ พร้อมร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการติดตั้งระบบอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคา 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานแหลมทองโปรตีนฟู้ด สาขาสูงเนิน, โรงงานแหลมทองผลิตภัณฑ์อาหาร สาขาอ้อมน้อย และโรงงานแหลมทองสหการ สาขาบางปลากด จำนวนกว่า 8 เม็กกะวัตต์ มูลค่ากว่า 210 ล้านบาท นับเป็นการลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าสูงถึงปีละ 47 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 5,390.26 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิว เอ็นเนอร์จี พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ NEPS กล่าวว่า “ด้วยจุดมุ่งหมายของ NEPS ที่มุ่งสร้างพลังงานทางเลือกสู่พลังงานหลัก เพื่อส่งเสริมธุรกิจพลังงานสะอาด ช่วยผู้ประกอบการในการลดค่าไฟฟ้า และลดการปล่อยแก๊ซเรือนกระจก สอดรับกับแนวคิดของเครือบริษัทแหลมทองสหการ ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน ส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้วางใจในการเข้าไปติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารและการเกษตร อันได้แก่ โรงงานแหลมทองโปรตีนฟู้ด สาขาสูงเนิน, โรงงานแหลมทองผลิตภัณฑ์อาหาร สาขาอ้อมน้อย และโรงงานแหลมทองสหการ สาขาบางปลากด ซึ่งมีขนาดติดตั้งรวม 8,074.76 กิโลวัตต์ มูลค่าการลงทุนกว่า 210 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าถึง 4 ล้านบาทต่อเดือน และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 5,390.26 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่าแสนห้าหมื่นต้น โดยล่าสุดได้เข้าติดตั้งแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานแหลมทองโปรตีนฟู้ด สาขาสูงเนิน และ โรงงานแหลมทองผลิตภัณฑ์อาหาร สาขาอ้อมน้อย และอีกหนึ่งแห่ง ได้แก่ โรงงานแหลมทองสหการ สาขาบางปลากด กำลังจะเริ่มติดตั้ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปีนี้”
สำหรับการร่วมมือติดตั้งโซลาร์เซลล์ระหว่าง NEPS และ LTC Power (เครือแหลมทองสหการ) ในครั้งนี้มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการใช้พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์เพื่อช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งก้าวไปสู่การบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 ทั้งนี้การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ทั่วโลกยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งภายในประเทศไทยเองมีการเติบโตกว่า 300% เมื่อเทียบกับปี 2023
“NEPS เราไม่เพียงแต่ติดตั้งโซลาร์ แต่เรายังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้า บริการ ระบบหลังบ้าน และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบการติดตั้งหน้างานให้ลูกค้าได้อย่างสวยงามขึ้น ภายใต้การดูแลแบบครบวงจรของทีมวิศวกรมืออาชีพ ด้วยบริการ One Stop Solutions ที่ให้คำปรึกษา สำรวจ ออกแบบ การขอใบอนุญาตติดตั้ง รวมทั้งซัพพอร์ตบริการหลังการขายที่เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้ NEPS ได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรหลากหลายภาคส่วนมาโดยตลอด รวมถึง ระบบ Online Monitoring ที่สามารถดูผลการผลิตไฟ และจำนวนที่ประหยัดได้ต่อวันได้แบบเรียลไทม์ อีกทั้งเรากำลังจะเดินหน้าสู่ธุรกิจ Energy Storage System (ESS) หรือ ระบบกักเก็บพลังงาน ที่จะทำงานร่วมกับระบบโซลาร์เซลล์ เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสำรองไฟไว้ใช้ในเวลากลางคืน ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นในอนาคตด้วย” นายตรีรัตน์ กล่าวปิดท้าย