ประเทศไทย – 15 พฤศจิกายน 2566 : เอสพี กรุ๊ป (เอสพี) กลุ่มสาธารณูปโภคชั้นนำและผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนในสิงคโปร์และเอเชียแปซิฟิก ร่วมกับ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำของประเทศไทย เดินหน้าขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอัจฉริยะสู่มหาวิทยาลัยสีเขียว โดยเอสพีจะเป็นผู้นำโซลูชันพลังงานแบบบูรณาการที่ยั่งยืนมาปรับใช้ให้ครอบคลุมทั้งมหาวิทยาลัย ตลอดจนให้คำแนะนำเพื่อไปสู่มหาวิทยาลัยสีเขียว ซึ่งประกอบไปด้วย การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (PV) พร้อมระบบการจัดการและจัดเก็บพลังงานแบบรวมศูนย์ รวมทั้งโซลูชัน GETTM (Green Energy Tech) ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะสำหรับอาคาร เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้อาคาร หากดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2567 โซลูชันเหล่านี้จะช่วยให้มหาวิทยาลัยฯ มีสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดถึงร้อยละ 21 ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ 1,400 ตันต่อปี และลดต้นทุนพลังงาน 4 ล้านบาทต่อปี
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมดังกล่าว เอสพีและมหาวิทยาลัยรังสิตยังได้ร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับใช้โซลูชันพลังงานแบบบูรณาการที่ยั่งยืนให้มากขึ้นทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ซึ่งรวมถึงระบบการทำความเย็นแบบศูนย์รวม (District Cooling) เพื่อให้ระบบปรับอากาศสามารถประหยัดพลังงานมากขึ้น การเพิ่มพื้นที่การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงาน รวมทั้งต่อยอดการปรับใช้ชุดระบบการจัดการพลังงานแบบดิจิทัลอัจฉริยะของ GETTM ซึ่งใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการดำเนินการอย่างยั่งยืน รวมถึงยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้อาคาร
ภายใต้โครงการความร่วมมือนี้ เอสพีจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (PV) บนหลังคาขนาด 2 เมกะวัตต์ (MWp) บนอาคารจำนวน 9 หลัง และติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำบริเวณสระน้ำ อาคาร 7 รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทั่วทุกอาคารของมหาวิทยาลัย โดยโครงการนี้จะมีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ช่วยให้สามารถจ่ายพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตามความต้องการ ซึ่งคาดว่าระบบโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งเพิ่มจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 2,749 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี เมื่อดำเนินการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ อาคารที่ตั้งของสำนักงานอาคารและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต (อาคาร 13) จะเป็นอาคารต้นแบบที่ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 100 เปอร์เซ็นต์ และจะเป็นอาคารแห่งแรกของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่จะได้รับสถานะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
นอกจากนี้เอสพียังนำระบบ GETTM Control ซึ่งเป็นระบบร่วมศึกษาควบคุมคุณภาพสภาพแวดล้อมในอาคารอัจฉริยะมาใช้ศึกษาประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศในอาคาร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยโซลูชันดังกล่าวได้ผสานความสามารถของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT (Internet of Things) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมเครื่องปรับอากาศผ่านการคำนวณจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น จำนวนผู้ใช้อาคารและสภาพแวดล้อมโดยรอบ เพื่อปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศให้เหมาะสมและกระจายความเย็นทั่วทั้งพื้นที่ จากการใช้ระยะเวลาทดลอง 2 เดือน นำร่องใน 2 อาคาร ได้แก่ พื้นที่ชั้น 2 อาคาร 12/1 และพื้นที่ชั้น 10 อาคาร 11 พบว่ามีประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานร้อยละ 40 และยกระดับความสะดวกสบายให้ผู้อาศัยในอาคารได้ร้อยละ 14
แบรนดอน เจีย กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย เอสพี กรุ๊ป กล่าวว่า อาคารต่าง ๆ อย่างอาคารสำนักงาน โรงงาน โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัยล้วนมีความต้องการด้านการด้านการดำเนินงานและด้านพลังงานที่แตกต่าง ความเชี่ยวชาญของเราในการส่งมอบบริการด้านพลังงานแบบบูรณาการที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนและสามารถกำหนดเองได้จะช่วยให้อาคารต่าง ๆ ได้รับประโยชน์สูงสุดจากแหล่งพลังงานที่หลากหลาย ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและช่วยให้บรรลุผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วย
ขณะนี้มีบางมหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ที่ Go Green และเกือบจะเป็น Net Zero เหมือนกัน โดยเอสพี กรุ๊ปได้ร่วมมือกับสถาบัน Institute of Technology ซึ่งให้บริการ Micro Grid หรือโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก เป็น Digital Energy Solution ที่ใช้ในการวัดว่ามีการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy :RE) เท่าใด ทำให้สามารถรู้ว่าลดใช้พลังงานแบบธรรมดาที่ไม่ใช่พลังงานแบบ REเท่าใด เพื่อวางแผนการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม
“ในส่วนของมหาวิทยาลัยรังสิต การที่จะไปสู่ Net Zero ได้เป็นหนทางระยะไกล ถ้าต้องการให้เป็น Net Zero ในขณะนี้ โซลูชันต่างๆ ราคาแพงมาก ทั้งนี้การใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นหนทางหนึ่งที่จะนำไปสู่ Net Zero แต่ไม่ได้เพียงแค่เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเท่านั้น แต่จะต้องผสมผสานกันกับการลดการใช้พลังงานด้วยเช่นกัน เพื่อการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน สำหรับเอสพี กรุ๊ป มีแผนกวิจัยและพัฒนาโดยตรง เพื่อตรวจเช็คว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายพลังงานโดยรวมอย่างไรบ้าง นั่นเป็นเหตุผลสำคัญทำให้เราต้องร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ผู้ใช้งานโซลูชันต่างๆ ของเรา เพื่อที่จะได้ค้นหาว่าใช้งานจริงหรือไม่และช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างไร เราจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อช่วยให้มหาวิทยาลัยสามารถมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน พร้อมมุ่งหวังที่จะได้ร่วมมือกันในการพัฒนาอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยขับเคลื่อนการลดปริมาณคาร์บอนในสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นได้ของประเทศไทย” แบรนดอน เจีย กล่าว
ด้านรศ.ดร.ธรรมศักดิ์ รุจิระยรรยง ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายอาคารและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน รวมถึงสถาบันการศึกษาด้วย จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่มหาวิทยาลัยฯ ต้องเร่งยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคาร และพัฒนาเป้าหมายด้านความยั่งยืน สำหรับมหาวิทยาลัยรังสิตเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมาถึง2.4 ล้านหน่วยต่อเดือน คิดเป็นค่าไฟ 10 ล้านบาทต่อเดือน หรือราว 120 ล้านบาทต่อปี จากมาตรการประหยัดพลังงาน ใช้หลอด LED สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 12 ล้านบาทต่อปี
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย มหาวิทยาลัยรังสิตได้คัดเลือกเอสพี กรุ๊ป โดยพิจารณาจากผลงานที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งประทับใจในความมุ่งมั่นและโซลูชันที่ครอบคลุมของบริษัทฯ เมื่อดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (PV) บนหลังคาขนาด 2 เมกะวัตต์ (Mwp) เสร็จสมบูรณ์ ภายใน 7 เดือนข้างหน้า หรือประมาณไตรมาส 2 ของปี 2567 อาคาร 13 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานอาคารและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต ขนาดพื้นที่กว่า 2,000 ตรม. ปัจจุบันใช้ไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์ จะเป็นอาคารต้นแบบที่ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 100 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นอาคารแห่งแรกของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่มุ่งหวังจะได้รับสถานะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อเป็นต้นแบบของอาคารอื่นๆ ในอนาคต
“มหาวิทยาลัยรังสิตหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความสำเร็จในการนำโซลูชันพลังงานแบบบูรณาการของเอสพี กรุ๊ปมาปรับใช้ที่มหาวิทยาลัยรังสิตจะช่วยเป็นต้นแบบให้สถาบันการศึกษาอื่น ๆ สามารถนำไปปฏิบัติตามได้ ทั้งนี้มหาวิทยาลัยรังสิตมีจุดมุ่งหมายในการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงการพัฒนาแบบยั่งยืนตามการประชุม COP 26 ที่มีเป้าหมายเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายสูงสุดคือปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)ในปี 2065” รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ เอสพี กรุ๊ป ได้สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวให้กับบริษัทพันธมิตรในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 โดยมีโครงการด้านพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่า 40 MWp ที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการและการก่อสร้าง รวมทั้งมีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมมากกว่า 100MWp ทั่วประเทศไทย ซึ่งพันธมิตรหลักของบริษัทฯ ได้แก่ มาลี กรุ๊ป, บริษัทเอเชีย คอมโพสิต แมททีเรียล (Asia Composite Material), บริษัทคอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (Compact International) และบริษัทสยามอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร จำกัด (มหาชน) หรือSAICO ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง ประสบการณ์ระดับภูมิภาค และความเป็นเลิศในการปฏิบัติงานของเอสพี กรุ๊ป เพื่อเริ่มดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เอสพี กรุ๊ป ได้ประกาศติดตั้งระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางแห่งแรกในประเทศไทยให้กับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมมือกับ บ้านปู เน็กซ์ โดยเมื่อติดตั้งระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางเสร็จสิ้นในปี 2567 จะสามารถทำความเย็นสูงสุดถึง 14,000 ตันความเย็น (RT) และทำให้โครงการฯ สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 40 ล้านบาท คิดเป็น1.12 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี พร้อมบรรลุเป้าหมายในการประหยัดพลังงานได้ร้อยละ 20 และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 3,000 ตันต่อปี
หมายเหตุ – ภาพที่ 1 แบรนดอน เจีย (ขวา) กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียของเอสพี กรุ๊ป และ รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ รุจิระยรรยง (ซ้าย) ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายอาคารและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต