โดยปกติแล้วฝุ่นโดยเฉพาะฝุ่นขนาดใหญ่ เดิมไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่รัฐเท่ากับสารมลพิษอากาศตัวอื่นๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปวิทยาการก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้เราเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นว่าฝุ่น หากมีขนาดเล็กมากๆ ก็สามารถมีอันตรายไม่น้อยกว่าสารมลพิษอากาศตัวอื่นๆ จนถึงขนาดองค์การอนามัยโลกต้องเข้ามามีบทบาทชี้นำในระดับนานาชาติ
เรื่องแรก เรื่อง PM 2.5 นี้องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ให้ความสนใจมากมาตลอด เพราะมันเกี่ยวกับสุขภาพของคนและสัตว์โดยตรงและอย่างมาก เพราะปัญหามันไม่ใช่เพียงแค่ฝุ่นจิ๋วนี้ที่เข้าไปในปอดได้ แต่เป็นเพราะมันสามารถทำตัวเป็นศูนย์กลางให้สารพิษอื่นๆ เช่น สารก่อมะเร็ง สารโลหะหนักฯลฯ มาเคลือบหรือเกาะอยู่บนผิวของมัน และจากนั้นมันก็จะเป็นตัวพาเอาสารพิษต่างๆ เหล่านั้นที่ปกติจะล่องลอยอยู่ในอากาศ เข้าไปในส่วนลึกของร่างกายของเราได้
อันตัวฝุ่นนั้นถ้าจะว่าไปไม่มีอันตรายรุนแรงเป็นแบบเฉียบพลัน เราต้องรับฝุ่นเข้าไปสะสมในร่างกายนับเป็นสิบๆ ปี จึงจะมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น แต่มีสารมลพิษอากาศอื่นๆ อีก เช่น โอโซน (O3) หรือ คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ที่เป็นอันตรายแบบเฉียบพลันได้ทันที และอันตรายกว่าฝุ่นหลายสิบหลายร้อยเท่าและเนื่องจากฝุ่นสามารถเป็นตัวพาเอาสารพิษอื่นๆ พวกนั้นติดตัวมันเข้ามาในร่างกายเราได้ ฝุ่น PM 2.5 จึงเป็นสารมลพิษอากาศที่กล่าวได้ว่าจะเฉียบพลันก็ไม่ใช่ จะเรื้อรังก็ไม่เชิง ค่ามาตรฐานของ PM 2.5 ในอากาศจึงเป็นค่าที่อยู่กลางๆ คือไม่ใช่ค่าเฉลี่ยรายชัวโมง (ที่เป็นตัวชี้วัดของอันตรายแบบเฉียบพลัน) แต่เป็นค่าเฉลี่ยรายวันหรือค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง โดยมีค่าเฉลี่ยรายปี (ซึ่งเป็นผลกระทบแบบเรื้อรังนานมาก) เพิ่มแถมขึ้นมาอีกในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย
สาเหตุที่องค์การอนามัยโลกสนใจตัวฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 นี้เป็นพิเศษ เพราะเอกสารทางการแพทย์ บ่งชี้ว่ามันสามารถทำให้เส้นเลือดหดตัว ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นเร็วขึ้น ไปจนถึงปัญหาด้านหลอดเลือดหัวใจ และหัวใจขาดเลือด ซึ่งทำให้กลุ่มเสี่ยงหรือคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วถึงกับเสียชีวิตได้ (ดังรูปที่ 1)
ตรงนี้จึงไม่ใช่ดราม่า แต่เป็นเรื่องจริง
เรื่อง 2 ต้นกำเนิดของ PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครมาจากไหน ต้นเหตุหลักๆ ของ PM 2.5 คือ (1) ไอเสียจากรถยนต์หรือจากการจราจร (2) อากาศพิษจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเฉพาะถ่านหิน หรือเชื้อเพลิงที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (3) การเผาในที่โล่งและในที่ไม่โล่ง ซึ่งมาได้จากทั้งในเขตกรุงเทพมหานครเองและจากพื้นที่โดยรอบหากทิศทางลมมันพัดพามาสู่เมือง และจากงานวิจัยล่าสุด เราเชื่อว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุดของฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ในกรุงเทพ มหานครมาจากนํ้ามันดีเซล ซึ่งมาจากการจราจรที่ติดขัดนั่นเอง
เรื่อง 3 ปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ไม่ใช่เพิ่งมีและไม่ใช่เพิ่งจะมาเกินมาตรฐานเอาในช่วงปี พ.ศ. 2561 นี้ แต่เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้วทุกปี เช่นในปี พ.ศ. 2556 พื้นที่ริมถนนดินแดง มีค่า PM 2.5 สูงถึง 112 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (โปรดสังเกตว่ามีหน่วยวัดเป็นไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรด้วย ไว้จะกลับมาอธิบายในตอนที่ 6 ต่อไปว่าทำไมต้องสังเกตเรื่องหน่วยวัดตรงจุดนี้ไว้) ดูรูปที่ 2 (http://www.pcd.go.th/public/publications/print_report.cfm?task=report2556) ในขณะที่ในเหตุการณ์ดราม่าเมื่อเร็วๆ นี้หรือต้นปี พ.ศ. 2561 มีค่า PM 2.5 อยู่ที่ 69-94 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์เกินมาตรฐาน (เฉลี่ยรายวัน) ของบ้านเราที่อยูที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรทั้งคู่ แต่จะด้วยเหตุใดก็ไม่รู้ที่เมื่อปีพ.ศ. 2556 และปีอื่นๆ ที่มีค่าเกินมาตรฐานนั้นไม่มีเหตุการณ์ดราม่าขึ้นในโซเชียลไทย แต่ที่สังเกตได้ชัดเจน คือในปี พ.ศ. 2561 นี้มีอากาศหนาวในเดือนมกราคมเกิดขึ้นหลายครั้งและยาวนาน ทำให้อากาศนิ่งอยู่เป็นสัปดาห์ ผลกระทบจึงมองเห็นด้วยตาได้ชัดกว่าปีที่ผ่านๆ มา
เรื่อง 4 การวัด PM 2.5 ในอากาศในไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เพิ่งทำกันเมื่อประมาณ 6-7 ปี ที่ผ่านมานี้เอง ถามว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่วัด ที่ไม่วัดก็เพราะไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ในการวัด ถามว่าทำไมไม่ซื้อมาวัดก่อนหน้านี้นานๆ ล่ะ ติดปัญหาอะไร…ก็ติดปัญหาที่ไม่มีงบประมาณจัดซื้อ ถามรุกต่อว่า ทำไมไม่ตั้งงบประมาณ อันนี้ไม่ขอตอบก็แล้วกัน เพราะบางคนหากคุ้นชินกับระบบราชการที่อุ้ยอ้ายอยู่บ้าง ก็คงรู้คำตอบนี้ได้ด้วยตนเอง และขอปล่อยให้กรมควบคุมมลพิษมาตอบคำถามนี้เองน่าจะชัดเจนกว่า
เรื่อง 5 ถ้าไม่ได้วัดมาก่อนหน้านี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ก่อนนี้มีหรือไม่มีปัญหา PM 2.5 คำตอบนี้ดูได้จากเรื่องที่ 3 และรูปที่ 2 คือ แม้จะไม่ได้วัดมาก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ในระยะเวลา 5-6 ปีนี้ ก็มีค่าเกินอยู่ทุกปีอยู่แล้วและหากมองสภาพปัญหาจราจรซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหา PM 2.5 ที่ไม่ได้ดีขึ้นเลยใน 10 ปีที่ผ่านมาก็คงอนุมานได้ว่าปัญหานี้มีมานานแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ ไม่มีข้อมูล จึงไม่มีเรื่องร้องเรียน และไม่มีดราม่า
เรื่อง 6 อันนี้ก็ยังเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด คือเมื่อเราพูดถึงพื้นที่กรุงเทพมหานคร มันกว้างใหญ่ไพศาลถึง 1,569 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 40×40 กิโลเมตร แต่เรามีสถานีตรวจวัดฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ที่เป็นทางการของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) อยู่เพียง 6 สถานี คือ พญาไท บางนา วังทองหลาง ริมถนนพระราม 4 ริมถนนลาดพร้าวและริมถนนอินทรพิทักษ์ ดังนั้นการที่บอกว่าคุณภาพอากาศใน 6 สถานีนั้นได้มาตรฐานไม่ได้หมายความว่าคุณภาพอากาศของทั่วกรุงเทพมหานครได้มาตรฐาน ในทางตรงข้ามการที่บอกว่าตัวเลขสารมลพิษอากาศใน 6 พื้นที่เกินมาตรฐาน ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพอากาศเลวไปทั่วกรุงเทพมหานคร และดราม่าอาจเกิดขึ้นได้จากความเข้าใจผิดนี้ในทั้งสองกรณี
แล้วทำไมไม่ติดตั้งเครื่องมือวัดคุณภาพอากาศให้ทั่วๆ คำตอบคือราคามันไม่ถูก คพ.จึงเลือกที่จะติดตั้งเครื่องมือไว้ในจุดที่เสี่ยงอันตรายกว่าที่อื่น โดยมีสมมุติฐานว่าถ้าพื้นที่นี้โอเค พื้นที่อื่นก็จะโอเคไปด้วย แต่หากเราต้องการได้ข้อมูลที่เป็นตัวแทนจริงของทั้งกรุงเทพมหานคร พวกเราคงต้องช่วยกันเรียกร้องภาครัฐและรัฐบาลด้วยเสียงที่ดังกว่านี้เพื่อให้รัฐบาลจัดหางบประมาณให้ คพ.และ กทม.ให้มากพอ และเมื่อนั้นเราจึงจะได้ข้อมูลที่เป็นจริงและจำนวนมากพอที่จะมาสรุปเพื่อหาทางทำให้อากาศที่เราหายใจกันอยู่ทุกวันนี้สะอาดขึ้น
ได้ที่ https://github.com/LILCMU/cmu-cleanair1
บทความที่เกี่ยวข้อง |
Source: นิตยสาร Green Network ฉบับที่ 94 กรกฎาคม-สิงหาคม 2562 คอลัมน์ GREEN Article
โดย รศ. ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล, ศ.กิตติคุณ ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อมูลอ้างอิง:
รูปที่ 1 สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา “ฝุ่น PM 2.5 แก้อย่างไรให้ตรงจุด” ทางออกร่วมกันในการลดฝุ่นละออง PM 2.5 ใน กทม. กรมควบคุมมลพิษ, 23 มีนาคม 2561
รูปที่ 2 ขจรศักดิ์ แก้วขจร “การพิทักษส์ ุขภาพประชาชนจากฝุน่ PM 2.5 : ความร่วมมือของเครือข่าย” ทางออก
ร่วมกันในการลดฝุ่นละออง PM 2.5 ใน กทม. กรมควบคุมมลพิษ, 23 มีนาคม 2561