บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด หรือEaton บริษัทจัดการพลังงานระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เปิดแผนธุรกิจปี พ.ศ. 2566 เน้น 4 พันธกิจหลัก ในการสร้างความยั่งยืนในการทำธุรกิจตามแผนแม่บทของอีตั้น สำนักงานใหญ่ พร้อมตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 50% ภายในปี ค.ศ. 2030
พร้อมกันนี้บริษัท ได้จับมือพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจัดเสวนาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและการผลักดันธุรกิจสีเขียวให้แพร่หลายในประเทศไทย โดยมี อาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และรวิวัฒน์ พนาสันติภาพ นายกสมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย เข้าร่วมเสวนา โดยพีรศุษม์ ธีระโกเมน อุปนายกสมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ
สุภัทรา รามสูต ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อีตั้น เป็นบริษัทจัดการพลังงานระดับโลกอัจฉริยะที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตและปกป้องสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้คนทุกที่ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันให้บริการลูกค้าในกว่า 175 ประเทศทั่วโลกรวมไปถึงประเทศไทย
ในปี ค.ศ. 2021 ยอดขายของอีตั้นมาจากสินค้าในกลุ่มธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม คิดเป็น 65% ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานความเสถียรในพลังงานไฟฟ้า และการเพิ่มคุณภาพอากาศ ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทมุ่งเน้นทำตลาดให้มากยิ่งขึ้น
สำหรับแผนธุรกิจของอีตั้น ประเทศไทย ในปี ค.ศ. 2023 ได้ดำเนินการตามแผนแม่บทของอีตั้น สำนักงานใหญ่ด้วยเช่นกัน โดยในปีนี้ บริษัทฯ จะชูจุดเด่นในเรื่องการสร้างความยั่งยืนในการทำธุรกิจ ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่เราจะต้องเอาชนะ และช่วยกันผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ในประเทศไทย เพื่อส่งต่อไปให้กับคนในรุ่นต่อๆไปด้วยเช่นกัน โดยบริษัทฯ เน้น 4 พันธกิจหลัก ในการสร้างสรรค์แนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนสำหรับธุรกิจ ได้แก่
1. ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านแหล่งพลังงาน จากแนวโน้มทั่วโลกที่ต้องการทดแทนการใช้เชื้อเพลิงจากคาร์บอนด้วยพลังงานหมุนเวียน อีตั้นจึงนำเสนอแนวคิด Everything as a grid เพราะอุปกรณ์ต่างๆในปัจจุบันสามารถรับและจ่ายไฟฟ้าได้สองทิศทาง อีตั้นจึงช่วยลูกค้าและชุมชนในการวางแนวทางการจ่ายไฟ การกักเก็บและบริโภคพลังงาน เพื่อให้เจ้าของบ้านและเจ้าของธุรกิจสามารถลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้
2. การใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนยานพาหนะ เพราะการเปลี่ยนจากการพลังงานเชื้อเพลิงมาเป็นไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นอีตั้นจึงมีผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการผลิตเครื่องชาร์จไฟแบบครบวงจร โดยจำหน่ายเครื่องชาร์จไฟแบบครบวงจร พร้อม Renewable Energy เป็นTotal Solution ผ่าน Retail ได้แก่ SIS สำหรับใช้ตามบ้าน
3. การก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัล เป็นการเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลคือตัวขับเคลื่อนพื้นฐานสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน การนำซอฟต์แวร์ Brightlayer ของอีตั้นมาใช้ในการประมวลผลข้อมูลทำให้เห็นภาพรวมในการใช้พลังงาน ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านการจัดการพลังงาน เพื่อความปลอดภัยขึ้น ชาญฉลาดมากขึ้นและยั่งยืนกว่าสำหรับอนาคต
4. การออกแบบผลิตภัณฑ์โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เมื่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผลิตภัณฑ์ของอีตั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ เช่น ผลิตภัณฑ์ RMU รุ่น Xiria ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2002 ด้วยการผลิตแบบเทคโนโลยีสุญญากาศปลอดก๊าซ SF6 ก๊าซอันตรายที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน และได้ขายไปทั่วโลกมากกว่าหนึ่งแสนเครื่อง เป็นต้น
นับแต่ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นมา อีตั้นได้ลงทุนไปมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องที่จะทำการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ด้วยวงเงินถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี ค.ศ. 2030
“เป้าหมายสำคัญของ อีตั้น คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้เทคโนโลยีและการให้บริการด้านการจัดการพลังงาน นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา อีตั้นได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึง 16% โดยปริมาณของก๊าซที่ลดลงจนถึงปัจจุบัน เทียบได้กับจำนวนก๊าซที่ปล่อยออกมาจากรถยนต์ถึง 30,000 คัน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 50% ภายในปี ค.ศ. 2030 นอกจากนี้อีตั้น ยังบรรลุเป้าหมายด้านการจัดการน้ำและกำจัดของเสีย โดยประสบผลสำเร็จกว่า 50% จากเป้าที่ตั้งไว้ และเร็วกว่าเวลาที่กำหนดถึง 4 ปี” สุภัทรา กล่าว

อาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากสถิติผู้ใช้ Gen Y มากกว่า 50% จะไม่ซื้อสินค้าที่ไม่มี Low Carbon Footprint ขณะเดียวกันหากสินค้าไม่มี Low Carbon Footprint จะถูกเรียกเก็บภาษี 20% ทั้งนี้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมควรเร่งปรับตัวผลิตสินค้าที่เป็น Low Carbon เพื่อแข่งขันได้ในตลาดโลก
ในส่วนของอีตั้นมีสินค้าที่เป็น Low Carbon จับต้องได้ และมีความหลากหลายทั้ง Tier 1,2 และ 3 มีสินค้าตั้งแต่หม้อแปลงไฟฟ้าจนกระทั่งตู้ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยมี Main Unit อยู่ที่จังหวัดระยอง
“ในปี ค.ศ. 2030 ไทยจะต้องลดปริมาณคาร์บอนมากกว่า 50% ถ้าเราไม่พร้อมน่าจะเกิดความเสียหาย ทำให้โรงงานย้ายฐานการผลิต อย่างเช่น แพนโดรา โรงงานผลิตจิวเวอรี่ขนาดใหญ่ อาจจะย้ายฐานการผลิตทั้งหมดใน 3 ปี” รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ส.อ.ท. กล่าว