เกร๊ทเตอร์ ฟาร์ม่า ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเวชภัณฑ์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย พร้อมจัดทัพโชว์งานวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมสเต็มเซลล์รายแรกของไทยที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) วัคซีนและชุดทดสอบภูมิแพ้ ตั้งเป้าขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นผู้นําด้านนวัตกรรมสุขภาพของอาเซียน สร้างมูลค่าธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทยสู่อาเซียนและตลาดโลก สนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub)
ภก.ดร.เชิญพร เต็งอำนวย กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเวชภัณฑ์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 65% ของตลาดอุตสาหกรรมยาที่มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท โดยมีเพียง 35% เท่านั้นที่เป็นการผลิตยาในไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมยาสำเร็จรูปหรือขั้นปลายน้ำ หรือเป็นการผลิตยาชื่อสามัญ (Generic drug) โดยเป็นการผลิตลอกเลียนสูตรยาต้นตำรับหรือยาต้นแบบจากต่างประเทศที่หมดสิทธิบัตรไปแล้ว ส่วนการผลิตยาขั้นต้นน้ำ หรือยาค้นคว้าขึ้นมาใหม่ และการผลิตยาขั้นกลาง หรือการผลิตวัตถุดิบนั้น
กลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ ฟาร์ม่า จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทชั้นนําของอาเซียนในการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและความงาม เริ่มต้นจากการที่บริษัทต้องการที่จะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพของคนไทย ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ด้วยราคาที่ยุติธรรม ทดแทนการนําเข้าและยังสามารถสร้างผลกําไรให้กับคู่ค้าได้อย่างยั่งยืน
“เราต้องการเป็นผู้ผลิตยาแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นต้นน้ำถึงปลายน้ำโดยเฉพาะในยากลุ่มเฉพาะทาง เพื่อทดแทนการนำเข้า เช่น ยากลุ่มผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advance Therapy Medicinal Products) ยาชีววัตถุ และผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ (Probiotic) เป็นต้นทั้งนีั้การลงทุนในยาชีววัตถุใหม่ๆ ถือเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะถ้าประเทศไทยไม่หนีไปด้านนวัตกรรม โอกาสแข่งขันกับต่างประเทศจะน้อยมาก ” ภก.ดร.เชิญพร กล่าว
สำหรับแนวทางการพัฒนาในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัท เกร๊ทเตอร์ ฟาร์ม่า ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พัฒนาชุดทดสอบและวัคซีนโรคภูมิแพ้ ตั้งแต่กระบวนการเพาะเลี้ยงไรฝุ่น และแมลงสาบ และกระบวนการสกัด ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ดีในการผลิต GMP/PICsเพื่อให้ได้สารสำคัญซึ่งเป็นวัตถุดิบที่จำเพาะต่ออาการแพ้ของคนไทย ตลอดจนกระบวนการผลิตชุดทดสอบและวัคซีนจนได้ผลิตภัณฑ์สู่ตลาดเป็นรายแรกในอาเซียน
จากจำนวนประชากร 100 คน มีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ 20 คน คิดเป็น 20% หากจำนวนประชากรในไทย 60 ล้านคน มีผู้ป่วยสูงถึง 12 ล้านคน แบ่งเป็นภูมิแพ้ ไรฝุ่น 50% และแมลงสาบ 50% โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดกลุ่มวัคซีนโรคภูมิแพ้ว่าเป็นยา สำหรับชุดทดสอบโรคภูมิแพ้ถือเป็นยา ทำให้ธุรกิจบริษัทฯ เติบโตจากวัคซีนและชุดทดสอบโรคภูมิแพ้ ซึ่งมี 12ชนิด ได้แก่ ไรฝุ่น แมลงสาบ เชื้อรา ปีนี้จะเปิดตัวชุดทดสอบไรฝุ่นออกมาเพื่อใช้ในการตรวจ เนื่องจากผลิตไม่ทัน พร้อมเดินหน้าผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโรคภูมิแพ้ โดยวัคซีนไรฝุ่นใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนา 15 ปี
ภก.ดร.เชิญพร กล่าวว่า บริษัทฯ นับเป็นผู้ผลิตรายแรกของอาเซียนที่เริ่มการวิจัยและพัฒนายากลุ่มผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advance Therapy Medicinal Products) เช่น สเต็มเซลล์ ซึ่งจัดเป็นยาในหมวดชีววัตถุ จำหน่ายในต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และแคนาดา ใช้เวลาวิจัยและพัฒนา 10 ปี และบริษัทฯ ยังถือเป็นPharmaceutical Stem Cell Bank รายเดียวในไทย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังพัฒนา NK Cell เพื่อเป็นการรักษาทางเลือกในการรักษามะเร็ง เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติใบอนุญาตเพื่อผลิตอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย การเพาะสเต็มเซลล์เพื่อรองรับการนำไปใช้ในอนาคตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องได้รับอนุญาตการจัดเก็บจากอย. โดยบริษัทฯ จัดเก็บในถังไนโตรเจนอุณหภูมิต่ำกว่า -1500 cอายุ 20 ปี ใช้รักษาโรคเบาหวาน Stroke และข้อเข่าเสื่อม ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการฝากสเต็มเซลล์ 2,000-3,000
“การแข่งขันระหว่างธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์ค่อนข้างสูง การนำไปใช้จะต้องถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากเป็น Disruption Drug จะต้องมีคนดูแลมาตรฐานการเพาะเลี้ยงตามใบอนุญาตจากแพทย์ เราได้รับอนุญาตจากอย.เป็นรายแรก อยู่ระหว่างกระบวนการขึ้นทะเบียนสเต็มเซลล์ เพื่อสนับสนุนไทยเป็น Medical Hub ” ภก.ดร.เชิญพร กล่าว
ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) จากจุดเด่นด้านบริการทางการแพทย์ที่มีข้อได้เปรียบเรื่องราคา การบริการที่ดี รวมทั้งคุณภาพของบุคลากร โดยเฉพาะแพทย์ทางเลือกและการดูแลฟื้นฟู ทำให้อุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยครบวงจร มีแนวโน้มการลงทุนสูงในอนาคต
นอกจากการยกระดับศักยภาพด้านวิจัยและนวัตกรรมแล้ว เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า ได้ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดใหม่ ล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้โดนใจกลุ่มเจเนอเรชั่น Z (Gen Z) มากยิ่งขึ้น โดยดึง ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารี มาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งเป็นตัวแทนแบรนด์ในการชวนคนรุ่นใหม่ “มา… ซิงค์ไปกับไบร์ท”
“เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทชั้นนําของอาเซียนในการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและความงาม โดยผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพของคนไทย ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ด้วยราคาที่ยุติธรรม ทดแทนการนําเข้าและสร้างผลกําไรให้กับคู่ค้าได้อย่างยั่งยืน” ภก.ดร.เชิญพร กล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน CPHI South East Asia 2024 งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และการประชุมด้านอุตสาหกรรมการผลิตยา ครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10 – 12 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ของเกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า ให้กับผู้ที่เข้าชมงานและสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ