“โอลิค” (OLIC) บริษัทรับจ้างผลิตยาครบวงจรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศขับเคลื่อนความยั่งยืนทางธุรกิจและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย พร้อมส่งนวัตกรรมยาฟองฟู่ เสริมประสิทธิภาพดูดซึมเร็วและดีขึ้น และส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงยาคุณภาพและบริการแบบครบวงจร
มร.โยชิฮิโร ทาคาดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด (OLIC Thailand Limited) ผู้ให้บริการอุตสาหกรรมการผลิตยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพแบบสัญญาจ้าง (Contract Manufacturing Organization : CMO) ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยาในไทยส่วนใหญ่ยังพึ่งพาการนำเข้า รวมถึงต้นทุนการผลิตในการปรับปรุงโรงงานให้ได้ตามมาตรฐาน GMP-PIC/S และเป็น 1 ใน 4 แห่งของโลกที่ได้รับมาตรฐาน GMP-PIC/S
ที่ผ่านมาโอลิคได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องทั้งมาตรฐานการผลิต การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างสังคมแห่งสุขภาพที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง และต้องการให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีสุขภาพดียิ่งขึ้น โอลิคจึงวางตำแหน่งบริษัทฯ ให้เป็นมากกว่าผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ แต่ใส่ใจผู้คน สังคม และโลก
ภญ.ฐิติมา ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายประสิทธิภาพและปฏิบัติการตามกฎระเบียบ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ก่อตั้งในปี 2547 เป็นเวลาเกือบ 40 ปี ที่โอลิตผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสู่สังคมไทยและสังคมโลก ในปี 2540 บริษัทฯ ได้ขยายกำลังการผลิตโดยย้ายมาที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา บนเนื้อที่ 80,000 ตารางเมตร จากนั้นในปี 2555 โอลิคมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัท Fuji Pharma จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเภสัชกรรมสัญชาติญี่ปุ่น ในปี 2561 ก้าวขึ้นเป็นบริษัทพัฒนาและรับจ้างการผลิตยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพแบบสัญญาจ้าง (Contract Manufacturing Organization : CMO)
“ในฐานะผู้ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การปรับปรุงพัฒนาตำรับยา พัฒนาและตรวจสอบวิธีวิเคราะห์ ผลิตและบรรจุ รวมไปถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ จัดเก็บและส่งมอบยาให้แก่ลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีการผลิตและเครื่องจักรที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นยาปราศจากเชื้อ ยาเม็ด ผง แคปซูล ยาน้ำ ครีม เจล ยาทาภายนอก สเปรย์ และแคปซูลเจลาตินแบบนิ่ม” ภญ.ฐิติมา กล่าว
โรงงานโอลิคผลิตภายใต้ข้อกำหนดตามมาตรฐาน GMP-PIC/S หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา สถานที่ผลิตได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 , ISO 13485 สำหรับเครื่องมือแพทย์ , ISO 17025 สำหรับห้องปฏิบัติการ รวมทั้งมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 และได้รับมาตรฐานการจัดการด้านชีวอนามัยและความปลอดภัย ISO 45001 อีกทั้งโอลิคยังมีระบบการจัดการคุณภาพองค์กร (Enterprise Quality Management System : EQMS ) และระบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศสำหรับห้องปฏิบัติการ (Laboratory Information Management System : LIMS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและระดับการผลิต
นอกจากนี้ยังได้นำบาร์โค้ดมาตรฐานสากล GS1 การกำหนดเลขซีเรียล และการรวบรวมกลุ่มข้อมูล (Serialization and Aggregation) ให้เป็นกลุ่มเดียวกันมาใช้เพื่อประโยชน์ในการติดตามความคืบหน้าและตรวจสอบแบบเรียลไทม์ (Track and Trace Technology) และการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกำกับดูแลในตลาดปลายทางของลูกค้า Track and Trace Technology โดยแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เดินทางตั้งแต่ต้นไปจนจบกระบวนการในห่วงโซ่อุปทานอย่างไร และช่วยเพิ่มความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้เกาหลีใต้และรัสเซียเริ่มให้ความสำคัญกับการติดตามผลิตภัณฑ์ให้ผู้ใช้
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโอลิค มีลูกค้ามากกว่า 30 ราย และผลิตภัณฑ์มากกว่า 600 รายการที่จำหน่ายทั้งในไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย โดยจัดส่ง Aerosol Spray และ Topical Liquid Creams ให้สหรัฐอเมริกา และในอนาคตอันใกล้จะส่งออกยาฉีดให้สหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ภญ.ฐิติมา กล่าวว่า โอลิคให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมการผลิตมาอย่างสม่ำเสมอ ล่าสุดตั้งแต่ต้นปี 2566 โอลิค ได้เพิ่มไลน์การผลิตใหม่สำหรับการผลิตยาฟองฟู่ (Effervescent) ซึ่งเป็นรูปแบบเภสัชภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้แตกตัวและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทันทีที่สัมผัสน้ำ ซึ่งข้อดีของยาฟองฟู่คือเหมาะกับตัวยาที่มีปัญหาในการผลิตในรูปแบบยาเม็ด (Tablets) ทั้งยังช่วยให้ยาดูดซึมได้เร็วและดีขึ้น ทั้งนี้การผลิตยาเม็ดฟองฟู่มีตำรับที่ซับซ้อนและต้องมีการควบคุมคุณภาพมากกว่าการผลิตยาเม็ดธรรมดา โดยเฉพาะการควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษในกระบวนการผลิต และ บรรจุอย่างพิถีพิถันเพื่อคงประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามตำรับยาไว้
ภญ.อังสนา วนเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โอลิคมีพนักงานทั้งหมด 800 คน แบ่งเป็นพนักงานปฏิบัติการ 500 คน เภสัชกร 50 คน และพนักงานส่วนอื่น อีก 50 คน โอลิคตระหนักและให้ความสำคัญกับการเติบโตยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมามีการปรับกระบวนการผลิตโดยได้นำพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต พร้อมปรับเปลี่ยนระบบไฟส่องสว่าง ดำเนินการเปลี่ยนแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงงาน โดยลงทุนไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้กว่า 23.9% ในปี 2564
ในปี 2565 โอลิคลงทุนในระบบโซลาร์พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 0.99 เมกะวัตต์ (ระยะที่ 1) ด้วยเงินลงทุน 24 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการติดตั้งที่โรงงานโอลิค ซึ่งเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 1,254 เมกะวัตต์ต่อปี เทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ประมาณ 650 ตันต่อปี นอกจากนี้ยังเตรียมแผนการลงทุนเพิ่มเติมในระบบโซลาร์ฯ ขนาด 0.80 เมกะวัตต์ (ในระยะที่ 2) ใช้เงินลงทุน 20 ล้านบาท
“ระบบโซลาร์พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดต้นทุน แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้โอลิค สามารถเติบโตในธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และผลักดันให้เกิดการเข้าถึงยามากขึ้น รวมถึงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาให้เติบโตไปข้างหน้า ภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เราจะการยืนหยัดเคียงข้างลูกค้า คู่ค้า พนักงาน และชุมชน” ภญ.อังสนา กล่าว
สำหรับยอดขายรวมของโอลิคในปี 2565 อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท ส่วนในปี 2566 นี้คาดว่ารายได้น่าจะเพิ่มขึ้น 10%
ภญ.ทัฬห์ ปึงเจริญกุล ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมไทยอุตสาหกรรมไทยผลิตยาแผนปัจจุบัน กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ผลิตยา 150 แห่ง ส่วนใหญ่รับจ้างผลิต โดยจัดส่งยาป้อนโรงพยาบาลรัฐ 60% ผ่านองค์การเภสัชกรรม โรงพยาบาลเอกชน 20% ที่เหลือ 20% ให้ร้านขายยา ทั้งนี้ประเทศไทยผลิตยาขึ้นใช้เองในประเทศ 35% ซึ่งมีปริมาณที่มากกว่า และนำเข้าจากต่างประเทศ 65% ระยะหลังราคายาแพง เนื่องจากผลิตในประเทศไม่ได้และชีววัตถุมีราคาสูง
อย่างไรก็ตาม มีตัวยาบางประเภทที่โรงงานในไทยผลิตได้ เช่น ยาปฏิชีวนะสำหรับรักษาวัณโรค พัฒนารูปแบบยาใหม่ๆ รวมทั้งการอนุมัติทะเบียนจากองค์การอาหารและยา (อย.) ให้รวดเร็วมากขึ้น เพื่อเป็นการยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ยา
ล่าสุดจะมีการจัดงาน CPHI South East Asia 2023 งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมด้านอุตสาหกรรมการผลิตยาครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างวันที่ 12-14 กรกฎาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
รุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน CPHI South East Asia 2023 กล่าวว่า งาน CPHI จัดมามากกว่า 40 ปีแล้วในทวีปยุโรป สำหรับการจัดงาน CPHI South East Asia 2023 ในไทยมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างการรับรู้ถึงมาตรฐานการผลิตยาในประเทศไทย และความเข้าใจในโอกาสของอุตสาหกรรมการผลิตยา และต้องการสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยว่า สายการผลิตยาในประเทศไทยมีมาตรฐานในระดับสากลที่รู้จักกันชื่อ จีเอ็มพี พีไอซีเอส และผลิตยาที่มีคุณภาพ พร้อมแข่งขันในการเป็นผู้ผลิตยาสู่ตลาดต่างประเทศ
“ความท้าทายคือ การนำเข้าสารออกฤทธิ์ Active Pharmaceutical Ingredient : API) ในการผลิตยา และด้วยมาตรฐานที่สูงมากมาพร้อมกับต้นทุนการผลิตยาที่สูงทำให้โอกาสของธุรกิจจำกัดในกลุ่มผู้ผลิตเพียงไม่ถึง 200 ราย การผลิตยาของประเทศไทยรวมถึงในภูมิภาคอาเซียนนั้นต้องพึ่งพิงการนำเข้ามากกว่าร้อยละ 90 และที่สำคัญการรับรู้ถึงคุณภาพมาตรฐานในการผลิตยาในประเทศไทยนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักไปถึงกลุ่มผู้บริโภค เราจึงต้องช่วยกันส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ประกอบการในประเทศเชื่อมั่นในมาตรฐานการผลิตระดับสากล ทั้งจะช่วยเพิ่มการใช้ยาที่ผลิตในประเทศมากขึ้น” รุ้งเพชร กล่าว