“ราช กรุ๊ป” เผยแผนดำเนินธุรกิจปี’66 เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ปีละไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ เตรียมงบลงทุนโครงการปีหน้า 15,000 ล้านบาท


บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แถลงแผนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2566 เดินหน้าธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่อีกปีละไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ ส่วนการลงทุนธุรกิจจะเน้นในกลุ่มประเทศออสเตรเลีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เป็นหลัก ทั้งโรงไฟฟ้ากรีนฟิลด์และแบบซื้อกิจการ ส่วนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ที่ 15,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาก่อสร้างประมาณ 8,000 ล้านบาท และที่เหลือประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท จะใช้ในการ M&A เน้นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

ชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2566 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนธุรกิจโดยจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่อีกปีละไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อย่างต่อเนื่อง โดยศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าใหม่และพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุน ซึ่งดำเนินการแล้วกว่า 10 โครงการ นอกจากนี้ ยังเน้นการบริหารโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเดินเครื่องได้ทันกำหนดเวลาตามที่สัญญาระบุไว้ โดยมีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนรวม 2,918.23 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 – 2576 ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯใน 9 เดือนแรกของปี พ.ศ.2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้รวม 40,781 ล้านบาท แยกเป็นในกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้า 39,196 ล้านบาท คิดเป็น 96% และกลุ่มกิจการสาธารณูปโภคและอื่นๆ 1,585 ล้านบาท คิดเป็น 4%

ในปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีก 459 เมกะวัตต์ เช่น จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง ชุดที่ 1 กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 392.70 เมกะวัตต์ มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 โดยปัจจุบัน ได้ดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหลว ผ่านทางบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งได้ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว ระยะเวลา 3 ปี กับบริษัท Gunvor Singapore Pte. Ltd. โดยจะมีการส่งมอบในปริมาณปีละ 0.5 ล้านตัน และการส่งมอบครั้งแรกจะดำเนินการในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 โครงการโรงไฟฟ้าอาร์อีเอ็น กำลังผลิตติดตั้ง 31.2 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการก่อสร้างแล้ว 83.08% และจะดำเนินการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมกราคม พ.ศ.2567 และโครงการโรงผลิตไฟฟ้านวนครส่วนขยายระยะที่ 3 กำลังการผลิตติดตั้ง 30 เมกะวัตต์และไอน้ำ 8.5 ตันต่อชั่วโมง มีกำหนดการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2567 เป็นต้น

ชูศรี กล่าวว่านส่วนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ที่ 15,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการในมือที่อยู่ระหว่างการพัฒนาก่อสร้างประมาณ 8,000 ล้านบาท และที่เหลือประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท จะใช้ในการ M&A เน้นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

สำหรับการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่บริษัทฯให้ความสำคัญ ประกอบด้วย 1.ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นฐานธุรกิจด้านพลังงานทดแทนที่สำคัญ บริษัทฯมีบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาและลงทุน บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสที่จะขยายการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเสริมความเชื่อถือและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในช่วงที่ออสเตรเลียกำลังจะเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ.2593 บริษัทฯ ศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการที่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสะอาดและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพมาก โดยมีแนวคิดยกระดับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเพื่อให้บริการผลิตไฟฟ้าเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 152 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 81 เมกะวัตต์ ในรัฐนิวส์เซาท์เวลส์ ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการพลังงานลมขนาดใหญ่ ประมาณ 120 เมกะวัตต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ ตลอดจนการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานขนาด 100 เมกะวัตต์ เพื่อกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานทดแทนและจำหน่ายผ่านระบบสายส่ง 2.การลงทุนในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้ศึกษาศักยภาพและโอกาสการลงทุนจากจากแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตถึง 150 กิกะวัตต์ โดยร้อยละ 40 จะเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุนในการขยายฐานธุรกิจโดยมีการศึกษาและพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม อีกทั้งยังมีแผนที่จะเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วเช่นกัน และ3.การลงทุนในฟิลิปปินส์ บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์เนโกรส ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในปี พ.ศ.2567 โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ในอ่าวซานมิเกล และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียน่า บนเกาะลูซอน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างได้ในปี พ.ศ.2568 บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า แผนงานดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหุ้น ผู้มีส่วนได้เสีย ตลอดจนสร้างสรรค์ประโยชน์สู่สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

“แนวโน้มในอนาคต บริษัทฯ ยังคงยึดธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจหลักในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาธุรกิจและลงทุน จะมุ่งขับเคลื่อนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย พร้อมทั้งจะขยายไปสู่ตลาดแห่งใหม่ โดยเน้นประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นประเทศ สหรัฐอเมริกา โดยให้น้ำหนักการลงทุนทั้งแบบกรีนฟิลด์และการซื้อกิจการให้มีความสมดุลเพื่อบริหารกระแสเงินสดและรายได้ของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังจะให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสด ต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป้าหมาย EBITDA เติบโตถึง 12,000 ล้านบาท”   ชูศรี กล่าวทิ้งท้าย


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save