บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ พลังงานทดแทน และขนส่งแบบครบวงจร เผยผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2566 สามารถทำกำไรขั้นต้นโตเพิ่ม 738% และกำไรรวม 227% จาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) การเปลี่ยนการรับรู้ผลการดำเนินงานและเงินลงทุน บริษัท สแกน แอดวานซ์พาวเวอร์ จำกัด (SAP) จาก “บริษัทร่วม” เป็น “บริษัทย่อย” ส่งผลให้มีการควบรวมจัดทำงบการเงินของ SAP เข้ามาตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2566 2) รายได้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ประกอบกับการบริหารจัดการราคาต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีรายได้ซ่อมบำรุงสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น และ 3) ยอดปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น มีปัจจัยหนุนจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น และปริมาณการขนส่งอื่นๆเพิ่มขึ้นจากทั้งลูกค้ารายเก่าและรายใหม่
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาสที่1ปี พ.ศ. 2566 สิ้นสุดถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2566 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ทะลุเป้าและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถทำกำไรขั้นต้นไตรมาสที่ 1ปี พ.ศ. 2566โตเพิ่มขึ้น 738% และกำไรรวม 227% เทียบกับปี พ.ศ.2565ที่ผ่านมา และเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 316% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2565 ทั้งนี้กำไรรวมดังกล่าวยังไม่รวมกำไร One-time ที่เกิดจากขายเงินลงทุนในบริษัท เครือข่ายก๊าซ ไทย-ญี่ปุ่น จำกัด (TJN) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SCN และ บริษัท Shizuoka Gas Company Limited ประเทศญี่ปุ่น ในไตรมาส 1 ปี พ.ศ. 2565 สำหรับปัจจัยการเติบโตมาจาก 1) การเปลี่ยนการรับรู้ผลการดำเนินงานเงินลงทุน บริษัท สแกน แอดวานซ์พาวเวอร์ จำกัด (SAP) จาก “บริษัทร่วม” เป็น “บริษัทย่อย” ส่งผลให้มีการควบรวมจัดทำงบการเงินของ SAP เข้ามาตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2566 2) รายได้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ประกอบกับการบริหารจัดการราคาต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีรายได้ซ่อมบำรุงสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น และ3) ยอดปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น มีปัจจัยหนุนจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น และปริมาณการขนส่งอื่นๆเพิ่มขึ้นจากทั้งลูกค้ารายเก่าและรายใหม่
โครงสร้างรายได้จำแนกตาม 5 ประเภทธุรกิจ
สำหรับโครงสร้างรายได้จำแนกตามประเภทธุรกิจหลักของบริษัทฯ ใน 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1) รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ ไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ.2566 จำนวน 249 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17% เทียบกับปี พ.ศ.2565 2) รายได้ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และรถโดยสารปรับอากาศจำนวน 489 คัน ไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2566 จำนวน 33 ล้านบาท 3) รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ไตรมาสที่1ปี พ.ศ.2566จำนวน35ล้านบาท เพิ่มขึ้น18ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 105% เทียบกับปี พ.ศ.2565 4) รายได้จากธุรกิจขนส่งและอื่นๆ ในไตรมาสที่ 1ปี พ.ศ.2566เท่ากับ71ล้านบาท เพิ่มขึ้น10ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น16% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2565 และ5) รายได้อื่นๆ ไตรมาสที่ 1ปี พ.ศ. 2566จำนวน23ล้านบาท เพิ่มขึ้น3ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น13% เมื่อเทียบกับปีพ.ศ.2565
เตรียมแผนนำ SAP จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปีนี้
ดร.ฤทธี กล่าวว่าในส่วนโครงสร้างกำไรขั้นต้น จำแนกตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ 1) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ มีกำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี พ.ศ. 2566 จำนวน34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 230% เทียบกับปี พ.ศ.2565 2) ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และรถโดยสารปรับอากาศ มีกำไรขั้นต้นในไตรมาสที่1ปี พ.ศ.2566จำนวน4ล้านบาท 3) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีกำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 จำนวน 29 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น124% เทียบกับปี พ.ศ.2565และธุรกิจขนส่งและอื่นๆ มีกำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2566 อีกจำนวน 8 หมื่นบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังลงทุนเพิ่ม 10.23% ในบริษัทย่อยโดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2566 บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้น บริษัท สแกน แอดวานซ์เพาเวอร์ จำกัด (SAP) จากบริษัท ไทย แอดวานซ์โซลาร์จำกัด จำนวน 273,612 หุ้น รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 18.52 ล้านบาท การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นในSAP เพิ่มขึ้นจาก 58.69% เป็น 68.92% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะเงินลงทุนจาก “บริษัทร่วม” เป็น “บริษัทย่อย”โดยในไตรมาส 1 ปี พ.ศ. 2566 ผลการดำเนินงานของ SAP เติบโตถึง 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า และอัตราค่าไฟฟ้า (Ft) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัจจุบัน SAP ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ภาคเอกชน (Private Power Purchase Agreement) กับลูกค้าแล้วทั้งสิ้น 34 โครงการ รวมกำลังการผลิตทั้งหมด 21 MW ซึ่งการเติบโตที่มีนัยยะสำคัญดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีแผนนำSAPยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในปี พ.ศ.2566 นี้
กระจายพอร์ตการลงทุนสู่ธุรกิจสีเขียว เดินหน้านำ WTX จดทะเบียนในตลท.
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ กระจายพอร์ตการลงทุนสู่ธุรกิจสีเขียว โดยเข้าลงทุนในบริษัท เวสท์เทคเอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) หรือชื่อเดิม คือ บริษัท ซันเทค รีไซเคิลแอนด์ ดีคาร์บอน จำกัด (SUNTECH) โดยซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนทั้งสิ้น 11,842,830 หุ้น เป็นจำนวนเงินทั้งหมด 112 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 6.4% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด ธุรกรรมดังกล่าวได้เสร็จสิ้นแล้วในเดือนมกราคม พ.ศ.2566 โดย WTXประกอบธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับการแปรสภาพเหล็ก และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็ก อีกทั้งยังมีแผนต่อยอดจากธุรกิจเดิมสู่ธุรกิจรีไซเคิลโดยจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ลดโลกร้อน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นหลัก ทั้งนี้ WTX ได้ขายหุ้นเพิ่มทุนแก่นักลงทุนทั้งหมด 63.44 ล้านหุ้น มูลค่ารวมทั้งสิ้น 600 ล้านบาท ภายหลังได้รับเงินเพิ่มทุน คาดว่าเพิ่มโอกาสขยายการลงทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้เป็นอย่างดี และWTXกำลังดำเนินการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยเช่นกัน
รอประกาศได้สิทธิขนส่งก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ในเดือน ก.ค. เตรียมขึ้นแท่นผู้ขนส่งก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งในไทย
ดร.ฤทธี กล่าวว่า สำหรับโครงการจ้างขนส่งก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลที่ทางบริษัทฯ สามารถประมูลงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้สำเร็จแล้วนั้น รวมมูลค่ากว่า 180 ล้านบาท ใน 2 จากสถานีก๊าซธรรมชาติหลักลาดหลุมแก้ว และสถานีก๊าซธรรมชาติหลักลำลูกกา ซึ่งมีปริมาณขนส่งไม่ต่ำกว่า 330 ตัน/วัน และกำลังรอประกาศได้สิทธิขนส่งก๊าซธรรมชาติของ ปตท. อีกภายในเดือนกรกฏาคม ศกนี้ ที่มีอีกหลายสัญญารวมประมาณ 700 ตันต่อวัน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ กลายเป็นผู้ขนส่งก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งทันที ทั้งนี้ บริษัทฯไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้ เนื่องจากสถานการณ์เงินมีความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจและจ่ายเงินปันผลให้ผู้ร่วมถือหุ้นในทุกๆส่วนอยู่แล้ว