การจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน ถือเป็นหนึ่งในนโยบายพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เพื่อช่วยให้ชุมชนมีรายได้จากการเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า และลดภาระค่าใช้จ่าย มีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิง เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างความเข้มแข็งในชุมชน ลดการย้ายถิ่นฐานของแรงงาน เกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในชุมชน
หลักเกณฑ์การจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนนั้น จะมีการกำหนดพื้นที่เป้าหมายเพื่อจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน โดยพื้นที่เป้าหมายจะต้องมีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียน พร้อมมีระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้ารองรับ เพื่อรับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากชุมชน โดยแนวทางการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนนั้น เป็นความร่วมมือของทั้งภาคไฟฟ้า รัฐและ/หรือเอกชนและ/หรือชุมชน ร่วมจัดตั้ง โดยอาจมีงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ทั้งนี้ ราคารับซื้อต้องกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด และมีการกำหนดผลประโยชน์กลับคืนสู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ส่วนลดค่าไฟฟ้า ส่วนแบ่งผลกำไรจากการดำเนินงาน หรือรายได้จากการขายเชื้อเพลิงจากวัสดุทางการเกษตร ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน และช่วยลดความล้ำได้อีกทางหนึ่ง
สำหรับแนวทางการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนนั้น ล่าสุดจากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ซึ่งมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการร่วมลงทุนจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีเป้าหมายให้แต่ละชุมชนมีส่วนร่วมและถือหุ้น โดยกำหนดให้รัฐวิสาหกิจชุมชนเข้าถือหุ้นบุริมสิทธิในโรงไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 10% และไม่กำหนดเพดานสัดส่วนการถือหุ้นของชุมชน เพื่อเปิดช่องให้เอกชนเสนอผลประโยชน์สูงสุดให้ชุมชน รูปแบบการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนนั้นจะเป็นลักษณะชุมชนร่วมกับเอกชนทั้งหมด หรือชุมชนร่วมกับเอกชนร่วมกับภาครัฐก็ได้ โดยต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับชุมชนไม่น้อยกว่า 25 สตางค์ต่อหน่วย แต่หากเป็นโรงไฟฟ้าไฮบริด จะต้องแบ่งส่วนรายได้ให้กับชุมชน 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเชื้อเพลิงที่ 25 สตางค์ต่อหน่วย และส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 50 สตางค์ต่อหน่วย และต้องทำพันธสัญญาหรือคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่ง เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรในการปลูกพืชพลังงาน และเป็นหลักประกันสร้างรายได้จากการปลูกพืชพลังงานส่งป้อนให้กับโรงไฟฟ้าด้วย โรงไฟฟ้าชุมชนแต่ละแห่งจะมีกำลังการผลิตขนาดไม่เกิน 10 MW โดยตั้งเป้าหมายส่งเสริมรวมทั้งสิ้น 1,000 เมกะวัตต์ และขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ภายในปี 2565 ส่วนค่าไฟฟ้าที่ซื้อขายนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 3.76-5.34 บาทต่อหน่วย ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทเชื้อเพลิง
โรงไฟฟ้าชุมชนคืออะไร“โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก” หมายถึง โรงไฟฟ้าที่ชุมชนมีส่วนร่วมในการรับรู้และเห็นชอบในการก่อสร้าง มีส่วนแบ่งรายได้ของโรงไฟฟ้ามอบกลับสู่ชุมชนผ่านทางกองทุนหมู่บ้าน ชุมชนเข้าไปเป็นหุ้นส่วนการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าร่วมกับองค์กรของรัฐ และภาคเอกชน ผ่านทางวิสาหกิจชุมชน และวิสาหกิจชุมชนร่วมกันผลิตเชื้อเพลิงจำหน่ายให้กับโรงไฟฟ้าใช้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า นิยามของ ‘ชุมชน’ ในความหมายของโรงไฟฟ้าชุมชน
คุณสมบัติของวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มเกษตรที่จะเข้าร่วม
ผลประโยชน์ที่ได้รับ
ผู้ลงทุนคือใคร
ลักษณะของโรงไฟฟ้าชุมชนโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ โดยใช้เชื้อเพลิงจากขยะชุมชน ของเสีย/น้ำเสียจากอุตสาหกรรม ของเสียจากการเกษตร และพืชพลังงาน ข้อดี สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานได้หลายรูปแบบ เช่น ใช้ความร้อนขับเคลื่อนเครื่องจักร และ ผลิตไฟฟ้า โรงไฟฟ้าชีวมวล โดยใช้เชื้อเพลิงจากเศษวัสดุต่างๆที่เป็นชีวมวล เช่น กากอ้อย แกลบ ทะลายปาล์ม ไม้สับ เป็นต้น ข้อดี ลดปริมาณขยะ และเพิ่มมูลค่าให้กับของเหลือใช้ทางการเกษตร โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ข้อดี เป็นพลังงานสะอาด และเป็นพลังงานที่ไม่มีวันหมดเพราะผลิตจากแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าไฮบริด โรงไฟฟ้าแบบหลากหลายเชื้อเพลิง (Multi-Feedstock) เช่น ไฮบริดก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย-พลังงานแสงอาทิตย์), ไฮบริดก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน-พลังงานแสงอาทิตย์), ไฮบริดชีวมวล-พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งขึ้นอยู่กับศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนที่มีในแต่ละพื้นที่ เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน
|
Source: ข้อมูล กระทรวงพลังงาน